หมายเหตุปลายด้ามขวาน โดย ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล
สถานการณ์ การแพร่ระบาดของ”โควิด 19” ใน ภาคใต้ ที่หนักหน่วงรุนแรงมีอยู่ 2 พื้นที่ด้วยกัน พื้นที่แรกคือ จังหวัดภูเก็ต ซึ่ง ณ ทวันนี้ ยอดของผู้ติดเชื้อยังเพิ่ม ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัด จะทำการ”เคอร์ฟิวส์” พื้นที่ไปแล้วเป็นส่วนๆ หรือเป็น หมู่บ้าน ตำบล ที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อ แต่ก็ยังอยู่สภาพที่ยัง”เอาไม่อยู่”
สำหรับ”ภูเก็ต” นั้น ผ่านมาถึงวันนี้ ก็มีข้อมูลที่ชัดเจนแล้วว่า สาเหตุของการติดเชื้อมาจาก แหล่งที่เรียกว่า ย่านบันเทิง มาจากต้นเหตุของ นักท่องเที่ยวต่างชาติ คนทำงานกลางคืนที่เป็นคนในภาค”บริการ” และกว่าที่ จังหวัดจะไหวตัว “ล็อกดาวน์” จังหวัด ก็สายเกินไป เพราะผู้ที่เป็น”พาหะ” ของเชื้อ ได้แพร่เชื้อไปในหลายพื้นที่ แม้แต่ในจังหวัดต่างๆ ในหลายภาค ก็มีผู้ที่ได้รับเชื้อจาก คนที่ทำงานใน ภูเก็ต ซึ่งเดินทางกลับบ้าน และ ไปแพร่เชื้อ ให้กับคนในบ้านของตนเอง
เช่นเดียวกับ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถ้าติดตามข่าวอย่างต่อเนื่อง จะพบว่า มีกลุ่มคนที่เป็น”พาหะ” ในการแพร่เชื้อเพียงกลุ่มเดียว นั้นคือกลุ่ม”ดาวะห์” คือกลุ่มนักกิจกรรมทางศาสนา ที่ไปร่วมตัวกันเพื่อไปออกดาวะห์ ทั้งในพื้นที่ ในอำเภอ ในจังหวัด และในประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย เป็น
ซึ่งจะเห็นได้ว่า กลุ่มคนเกษตรกร กลุ่มประมง โรงแรม ร้านค้า มีผู้ติดเชื้อ หรือเป็น”พาหะ”ของโรค “โควิด 19” น้อยมาก เช่นเดียวกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างเพิ่มขึ้นเพราะกลุ่มคน ที่เดินทางไปออก”ดาวะห์” และเดินทางกลับเข้ามาในพื้นที่
เมื่อรวมกับกลุ่ม”ดาวะห์” ที่ออกจาก “มัรกัส” ที่ศูนย์ “มัรกัส”ยะลา และนำเชื้อไปติดคนในครอบครัว ยิ่งทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นว่า ใน 2 วันผ่านมาที่กลุ่ม”ดาวะห์”เดินทางกลับจาก อินโดนีเซีย ยิ่งทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่า ตัวเลขของผู้ติดเชื้อยังไม่นิ่ง ยังไว้วางใจไม่ได้ เพราะยังมี ปัจจัยอื่นๆ เป็นตัว เกื้อหนุน
เช่น นอกจากมีการนำชาวไทยมุสลิมจากประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย เข้ามาแล้ว ยังมีคนที่ ลักลอบ เข้า-ออก ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ตลอดเวลา โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องผ่านด่านตรวจที่เป็นเส้นทางหลัก เพราะในทุกพื้นที่มีเส้นทางรอง เส้นทางในหมู่บ้าน เส้นทางโจรอีกมากมายให้สามารถ เล็ดลอดผ่านไปได้
ดังนั้นคนจากพื้นที่อื่น และคนจากต่างประเทศ ยังเดินทางเข้า-ออก ในพื้นที่ได้อยู่ แม้ว่าแต่ละจังหวัดจะประกาศ”ล็อกดาวน์” จังหวัดแล้วก็ตาม ประเด็นนี้ คือเรื่องใหญ่ ที่จังหวัด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ประเด็นต่อมา เรื่องของกลุ่มดาวะห์ ที่ยังถูกมองจากภาคส่วนเจ้าหน้าที่ และภาคประชาชนว่า ยังมีความเคลื่อนไหว มีการหลบเลี่ยง ไม่เข้าสู่ขบวนการตรวจโรค และแม้กระทั่งกลุ่มที่ถูก “กักตัว” ในสถานที่ซึ่งรัฐเป็นผู้จัดหา ก็ยังมีการ เคลื่อนไหว ตามใจชอบ มีภาพกิจกรรมการรวมกลุ่มกัน ออกมาสู่สังคม”โซเชียล” ให้กลายเป็นที่ “วิพากษ์ วิจารณ์” ในหมู่ประชาชน อย่างรุนแรง
และ แม้แต่นายธานินทร์ ใจสมุทร อดีต สส. อดีต นายก อบจ.จังหวัดสตูล นักกิจกรรมใหญ่ของกลุ่ม”ดาวะห์” ในภาคใต้ ซึ่งเป็นผู้ประสานงานกับสถานเอกอัครราชฑูตไทยใน อินโดนีเซีย รวมทั้งเป็นผู้ ออกเงิน ค่าเครื่องบินให้กลุ่มดาวะห์ ที่เป็นผู้ติดเชื้อในขณะนี้เดินทางกลับประเทศก็”พลอยฟ้าพลอยฝน” ถูก”หางเลข” โดนกระหน่ำโดย”โซเชียล” แบบ”ทัวร์ลง” เพราะถูกมองว่าเป็นผู้นำคน”ติดเชื้อ” จำนวนมาก กลับเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเฉพาะคนในจังหวัดสตูล ซึ่งก่อนหน้านี้ ภูมิใจมาก ที่จังหวัดตนเองเป็น”ศูนย์ เพราะไม่มีมีผู้ติดเชื้อเลย แต่หลังจากที่ กลุ่มดาวะห์เดินทางกลับมาถึง จังหวัดสตูลกลายเป็นพื้นที่”ก้าวกระโดด” เพราะมีผู้ติดเชื้อวันเดียว 15 คน รวด เล่นเอาคนสตูล “อกสั่นขวัญแขวน” จากปรากฎการณ์นี้
แน่นอน ไม่มีใครผิดใครถูก จากเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะคนที่เดินทางกลับจาก มาเลเซียก็ดี อินโดนนีเซีย ก็ดี และเร็วๆนี้ อาจจะมาจาก มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย ซึ่งต่างก็เป็นคนไทย ที่สิทธิ์ในการเดินทางกลับมาเมืองไทย และเข้าสู่การตรวจโรคการกักตัวเพื่อป้องกันการเป็น”พาหะ”ของโรค
แต่ ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ข่าวสารที่ผู้คนได้รับ ภาพกิจกรรมที่ดูเหมือน ไม่อยู่ในร่องในรอยที่ควรจะเป็น ก็ทำให้ ผู้คนที่อยู่ใน สังคมของกลุ่มดาวะห์ ติดลบและกลายเป็น”จำเลย” ของคนส่วนใหญ่ ที่อยู่ในอาการ “ตื่นตระหนก และ “วิตกจริต” กับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในจังหวัดของตนเอง
ซึ่ง วันนี้ผู้นำกลุ่ม”ดาวะห์” ในภาคใต้ตอนล่าง ต้องออกโรงเพื่อทำความเข้าใจกับสังคมถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โดยให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่ม”ดาวะห์” ทั้งที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ ยังไม่ออกมาแสดงตัว และผู้ที่อยู่ในที่ ควบคุมโรคของทางราชการ ให้เข้าสู่ความเป็น ระเบียบ กฎเกณฑ์ ที่จะต้องปฏิบัติ
การออกมาเพื่อใช้ กฎหมาย “ปิดปาก”สื่อมวลชน หรือการประกาศที่จะใช้กฎหมายฟ้องร้องกับ กลุ่มคนที่ ออกมา”วิพากษ์วิจารณ์” ในเรื่องที่เกิดขึ้น จึงน่าจะเป็นเรื่องของ”ปลายเหตุ” เพราะเหตุที่เกิดในวันนี้ ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องใช้หลัก”นิติศาสตร์” เข้ามาดำเนินการ และรังแต่จะขยายความแตกแยก ระหว่างคนที่นับถือศาสนาต่างกันให้มีช่องว่างมากขึ้นด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกัน ผู้นำศาสนา ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เท่าที่ติดตามมาตลอด 3 สัปดาห์ ที่มีประกาศจากจุฬาราชมนตรี และการขอร้องจาก ผู้ว่าราชการจังหวัด จากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้”ศอ.บต. เพื่อให้ หยุดปฏิบัติภารกิจทางศาสนาคือ หยุดละหมาดในวันศุกร์ รวมทั้งการทำความเข้าใจกับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงแนวทางการป้องกันตนเอง คนในครอบครัว และชุมชน เพื่อมิให้ติดเชื้อ”โควิด 19” นั้น
ยังเห็นว่า ผู้นำศาสนาในหลายพื้นที่ หลายภาคส่วน ยังไม่เอาจริง ไม่แข็งขัน ในการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ ในการสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจในหมู่ของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ในหมู่บ้าน ตำบล ยังมีการปฏิบัติตาม วิถีชีวิตปกติ ทั้งที่ยามนี้คือ ยามที่ประเทศ และคนทั้งโลก ไม่ปกติ
ดังนั้น ถ้าต้องการที่จะ “ยุติ” ศาสนาการระบาดของ”โควิด 19” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้โดยเร็ว ผู้ว่าราชการจังหวัด ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ ศอ .บต.” รวมทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องดำเนินการด้วย”ไม้แข็ง” ด้วยความเด็ดขาด เพราะศึสงครามการต่อสู้กับ”โครระบาด” ที่ชื่อว่า”โรโคน่า” หรือ “โควิด 19” ในครั้งนี้ หนักหนาสาหัส ยิ่งกว่าการต่อสู้กับ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนมากนัก
เพราะ ยิ่งปล่อยให้ สถานการณ์”โควิด” ยาวนานเท่าไหร่ ยิ่งหมายถึงความสูญเสียอีกมากมายที่จะตามมา ดังนั้นวันนี้จึงไม่ใช่เวลาที่จะมานั่ง”ตามใจ”โดยปล่อยให้คนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ไม่ใส่ใจคำขอร้อง สร้างปัญหาให้กับผู้คนอีกมากมายให้ตกอยู่ในความ”วิตกกังวล” และ ทุกข์ยาก จากการแพร่ระบาดที่”ยุติ”ได้ ถ้าทุกคน รู้หน้าที่ และรู้รับผิดชอบชั่วดี ในการอยู่ร่วมกันในสังคม
ไชยยงค์ มณิพิลึก